look at arty

look at arty

Solar flare - ภัยใกล้ตัวที่คุณอาจไม่รู้

ภาพที่แนบมา

         ทราบไหมว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือ วาเลนไทน์ที่ผ่านมา นอกจากเป็นวันที่คนส่วนใหญ่กำลังวุ่นวาย กับการหาของขวัญให้แก่คนรัก และหาเวลาให้กันและกันอยู่นั้น เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญกับชั้นบรรยากาศของโลก อันเกิดจากรังสีของดวงอาทิตย์ ซึ่งเคยมีผลกระทบสำคัญ ๆ มากมาย ทุก ๆ 11 ปี แต่กำลังจะรุนแรงขึ้น
           ดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะก็มีความน่าพิศวง บรรยากาศของดวงอาทิตย์หรือ คอโรนา (Corona) จะมีอุณหภูมิสูงถึง 3.6 ล้านองศาฟาเรนไฮต์
หรือ 2 ล้านองศาเซลเซียส พลังงานความร้อนที่สูงมากขนาดนี้จะสาดอนุภาคพลังงานสูงที่มีประจุไฟฟ้าให้พุ่งออกจาก
ดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วสูงเกือบเท่าความเร็วแสง การประทุนี้เรียกกันว่าโซลาร์แฟลร์ (Solar Flares) ซึ่งทำให้เกิดพายุสุริยะ
เมื่อพายุสุริยะเดินทางถึงชั้นบรรยากาศของโลกมันสามารถทำลายระบบสื่อสารและดาวเทียมของโลกหรือ แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือได้
การประทุโซลาร์แฟลร์ขนาดใหญ่ที่สุดมีพลังงานสูงเทียบเท่ากับระเบิดไฮโดรเจนหลายล้านลูก หรือมีพลังงานเพียงพอที่จะใช้ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาได้นานถึง 100,000 ปี ปัจจุบันนักดาราศาสตร์อยู่ในช่วงเริ่มต้นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างและปฏิกิริยาภายใน
ของดวงอาทิตย์เพื่อจะทำนายปรากฏการณ์อันน่าพิศวงอย่างเช่นโซลาร์แฟลร์นี้
ดวงอาทิตย์ระเบิดพลังงานครั้งใหญ่ไฟฟ้าอาจดับทั่วโลกการบินอัมพาต
เตือน 2013 โลกเจอพายุรังสีสุริยะ ดวงอาทิตย์ระเบิดปลดปล่อยพลังงานรุนแรง ส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้า เครื่องบิน ไฟอาจดับทั่วโลก
หนังสือพิมพ์เดอะซันในอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ว่า นักวิทยา ศาสตร์ได้ออกโรงเตือนว่า ในปี 2013 โลกอาจจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปรากฏการณ์การระเบิดของพลังงานจากดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้เกิดรังสีโซลาร์แฟลร์ส่งมายังโลก และจะทำให้เกิดไฟฟ้าดับทั่วโลก เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในรอบร้อยปี
รายงานระบุว่า ผลกระทบที่อาจเกิดต่อโลกจากปรากฏการณ์ดังกล่าว อาจจะทำให้โรงไฟฟ้าเกิดการล้มเหลว อากาศยานไม่สามารถขึ้นบินได้ ระบบการสื่อสารล้มเหลว และอาจจะส่งผลกระทบต่อเสบียงอาหารทั่วโลก และอินเทอร์เน็ตจะดับลง
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 1859 ซึ่งเรียกว่าปรากฏการณ์ “เกรต โซลาร์ แฟลร์” โดยในครั้งนั้นสายโทรเลขทั่วยุโรปและอเมริกาถูกเผาไหม้ทั่วทั้งทวีป
ทั้งนี้ ดร.เลียม ฟอกซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอังกฤษ ได้เรียกประชุมฉุกเฉินขึ้นเมื่อวันก่อนหน้า โดยมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์เข้าร่วม เพื่อทำการประเมินความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการระเบิดของรังสีดวงอาทิตย์ โดยคาดว่าความเสียหายในโลกยุคปัจจุบันอาจจะรุนแรงกว่าเมื่อครั้งปี 1859 ซึ่งรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษได้เรียกร้องให้นักวิทยาศาสตร์เร่งสร้างกลยุทธ์การป้องกันหายนะภัยที่อาจจะเกิดขึ้น
ดวงอาทิตย์จะครบรอบการระเบิดของพลังงานออกมาทุกๆ ร้อยปี ซึ่งจะตรงกับปี 2013 ที่จะมาถึง โดยการระเบิดจะทำให้เกิดพายุรังสีขึ้น และสร้างความปั่นป่วนให้กับระบบพลังงานบนโลกทันที
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1859 ซึ่งเคยเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น อิทธิพลจากการปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ได้ทำให้ท้องฟ้าเหนือผิวโลกถึง 2 ใน 3 เต็มไปด้วยแสงออราสีแดงเลือด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2013
นอกจากนั้น ในปี 1898 ก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันนี้ขึ้น แต่มีอานุภาพน้อยกว่า แต่กระนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้โรงผลิต กระแสไฟฟ้าในแคนาดาดับลงทันที
รายงานระบุว่า ในภาพยนตร์เรื่อง 2012 ซึ่งเป็นเรื่องราวจุดจบของโลกนั้น ก็มีสาเหตุมาจากการปลดปล่อยพลังงานมหาศาลของดวงอาทิตย์ และรังสีโซลาร์แฟลร์เช่นเดียวกัน ซึ่งส่งผลกระทบทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ก่อนที่จะทำให้เกิดการสั่นไหวของเปลือกโลก เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง และเกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มโลกขึ้น
ที่ประชุมระบุด้วยว่า ปรากฏการณ์นี้จะมีลักษณะที่คล้ายกับกรณีการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์ในอวกาศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรง
คณะกรรมการด้านความมั่นคงทางไฟฟ้าของอังกฤษได้หารือถึงแผนรับมือปรากฏการณ์ดังกล่าวแล้ว

0 ความคิดเห็น: