นอกจาก ทิศตะวันตก แล้ว คนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังมีความเชื่อว่า ทิศใต้ เป็นอีกทิศหนึ่งที่เป็นทิศอัปมงคล เพราะมักจะนิยมหันหัวคนตายไปทาง 2 ทิศนี้ ดังนั้นคนจึงนิยมหันหัวนอนไปทาง ทิศเหนือ และ ทิศตะวันออก ด้วยเชื่อว่าเป็นทิศมงคล
แต่คุณทราบมั๊ยครับว่า จริงๆ แล้ว ตามความเชื่อของคนในสมัยโบราณ ?ทิศใต้? นั้นเป็นทิศมงคล และเป็นทิศหัวนอน แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็จะทรงพระบรรทมโดยหันพระเศียรไปทางทิศนี้
ในศิลาจารึกหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้มีส่วนหนึ่งที่บรรยายเกี่ยวกับภูมิสถานของกรุงสุโขทัยไว้ โดยในด้านที่ 3 ระหว่างบรรทัดที่ 1 - 10 ได้กล่าวถึงภูมิสถานทาง เบื้องตีนนอน และ เบื้องหัวนอน ของกรุงสุโขทัยไว้ว่า
...เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว...
...เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฎีมีพิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขพุง ผีเทพยดาในเขานั้น...
ซึ่งเมื่อตรวจสอบจารึกกับโบราณสถานที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงทำให้ทราบอย่างแน่ชัดว่า เบื้องตีนนอน นั้น คือ ทิศเหนือ ส่วน เบื้องหัวนอน นั้นคือ ทิศใต้
นอกจากคนไทยแล้ว ชาวเขมรในสมัยโบราณก็มีความเชื่อว่า ทิศใต้ เป็น ทิศหัวนอน และไทยเองก็น่าจะได้รับอิทธิพลความเชื่อนี้มาจากเขมรด้วยส่วนหนึ่ง ราเชนทรวรมัน ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่องย้อนรอยเทวราชา ผ่านกษัตราแห่งนครธม ความว่า ...เมื่อ พ.ศ. 1459 อาบู ซายึด พ่อค้าชาวอาหรับได้บันทึกสงคราม ชิงแผ่นดินในหมู่เกาะทะเลใต้ว่า กษัตริย์หนุ่มกัมพูชาผู้เร่าร้อน ปรารภกับปุโรหิตว่า อยากเห็นพระเศียรพระราชาแห่งชวาตั้งอยู่บนพื้นท้องพระโรง เรื่องราวไปเข้าพระกรรณของกษัตริย์ชวา กษัตริย์ชวายกทัพมาจับกษัตริย์หนุ่มกัมพูชากลับไป หลังจากตั้งกษัตริย์กัมพูชาองค์ใหม่ กษัตริย์ชวาส่งพระเศียรอดีตกษัตริย์กลับไปกัมพูชา อาบู ซายึด สรุปทิ้งทายไว้ว่า นับแต่นั้นกษัตริย์กัมพูชาจะหันพระเศียรไปทางทิศใต้ และเรียกทิศนั้นว่าทิศหัวนอน...?
ตามบันทึกของอาบู ซายึด ที่ราเชนทรวรมันอ้างถึง กษัตริย์เขมรพระองค์นั้น คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งต่อมาได้ทรงประกาศอิสรภาพให้กับเขมรไม่ต้องขึ้นกับชวา และทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่นำลัทธิเทวราชาจากอินเดียใช้ในเขมร เพื่อแสดงพระองค์ว่าทรงเป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ทั้งปวง ดังนั้นการที่กษัตริย์เขมรทรงหันพระเศียรไปทางทิศใต้ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ชวานั้น ในข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ผมยังไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม แต่ที่แน่ๆ ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากทางพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ เพราะตามพุทธประวัติ ในยามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนอน จะบรรทมในท่า ?สีหไสยา? ทรงตะแคงพระวรกายลงข้างขวา พระกรขวาเท้าพระเศียร หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก และหันพระเศียรสู่ทิศใต้ และเมื่อจะเสด็จปรินิพพานนั้น ได้รับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะที่บรรทมลงระหว่างต้นสาละคู่หนึ่ง ในป่าสาละวันของมัลละกษัตริย์ จากนั้นประทับในท่าสีหไสยา โดยหันพระเศียรสู่ทิศอุดร อันเป็นทิศเหนือ ครั้นถึงยามสุดท้ายของวันเพ็ญเดือนวิสาขะก็เสด็จสู่ปรินิพพาน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในสมัยโบราณนั้น ทิศใต้ เป็นทิศมงคล และเป็นทิศหัวนอน ในขณะที่ ทิศเหนือ เป็นทิศปลายตีน หรือทิศสำหรับคนตาย
ความเชื่อเรื่องการหันหัวคนตายไปทางทิศเหนือนี้ นอกจากจะมีในพุทธประวัติแล้ว ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ก็ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่าเมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคตนั้นได้ทรงหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ
...จึ่งรับสั่งว่า วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง นักปราชทั้งหลายก็ถึงความดับเปนอันมากในวันเพญดังนี้ ควรพนะชนมายุจะหมดจะดับในวันนี้เปนแน่แล้ว... ครั้งเวลาย่ำค่ำ รับสั่งให้หาพระยาบุรุษย์รัตนราชพัลลภเข้าไปเฝ้า ให้พยุงพระองค์พลิกพระเศียรทับพระพาหาเหมือนอย่างพระไสยาศน์ จึงตรัสว่าเขาตายกันดังนี้... แล้วก็ทรงเจริญพระกรรมฐานสมาธิภาวนานิ่ง พระเศียรสู่ทิศอุดร ผันพระภักตร์ต่อประจิมทิศภ...เสด็จสู่สวรรคต...
พลูหลวง ได้เขียนเรื่องทิศไว้ในหนังสือเรื่องคติสยาม ความว่า
...ทิศในสมัยโบราณท่านแบ่งออกเป็นเพศ และจำแนกเป็นซ้ายกับขวา ทิศตะวันออกกับใต้เป็นทิศฝ่ายขวา เพศชาย ส่วนทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นทิศฝ่ายซ้าย เพศหญิง
ดังได้กล่าวแล้วว่า โบราณชนท่านถือกันว่า ขวาเป็นมงคล ซ้ายเป็นอัปมงคล ดังนั้นท่านจึงนิยมนอนหันศีรษะสู่ทิศใต้ อันเป็นทิศฝ่ายขวา ดังในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย และหนังสือไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึงหัวนอนคือทิศใต้ เมื่อคนเป็นๆ นอนหันหัวสู่ทิศใต้ จึงจำเป็นอยู่เองที่คนตายจะต้องหันหัวสู่ทิศเหนือ คตินี้มีมาเก่าแก่ นับตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ดังเช่นมีการขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่ลพบุรี จากรายงานของกรมศิลปากรแจ้งว่าโครงกระดูกนั้นหันหัวไปสู่ทิศเหนือ
ในหนังสือ อาเคอิค อียิปต์ ของดับเบิลยู บี เอมเมอรี ได้เขียนแผนผังหลุมฝังศพอียิปต์โบราณสมัยลางของปฐมราชวงศ์ ปรากฏว่าศพหันหัวสู่ทิศเหนือ ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนสยามประเทศ
ทิศใต้เป็นทิศมงคล และเป็นทิศหัวนอนของคนโบราณ มีชื่อว่าทักษิณ ซึ่งแปลว่าขวา หรือความเจริญ..."
นอกจากนี้นฤมล หิญชีระนันทน์ ยังได้กล่าวไว้ในสารานุกรมสมัยสุโขทัย ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชไว้ว่า
..แม้การประดิษฐานพระมหาธาตุเจดีย์ ณ วัดมหาธาตุวรมหาวิหารที่เมืองนครศรีธรรมราชไว้ ณ ส่วนใต้สุดของเมืองเดิมที่มีกำแพงล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวไปตามสันทรายมหึมานั้น ก็หาได้เป็นการบังเอิญไม่ หากเป็นการจงใจให้เป็นไปตามคติการหันหัวนอนสู่ทิศใต้ดังกล่าว คือเพื่อให้สอดคล้องกับการที่ทุดคนในเขตเมืองเดิม จะได้หันหัวนอนไปนบสิ่งที่ตนเคารพบูชา คือ พระมหาธาตุเจดีย์ซึ่งประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญอยู่ ณ ส่วนใต้สุดของเมืองตลอดคืน สำหรับเมืองสุโขทัย พื้นที่ภายนอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้มีสิ่งสำคัญด้านศาสนาและความเชื่อคือกุฎีพิหาร รวมทั้งเทพยดาในเขา...
สำหรับในกาลต่อมาที่ทิศใต้กลายเป็นทิศสำหรับคนตายนั้น ตามข้อสันนิษฐานของพระยาอนุมานราชธน ไทยน่าจะได้รับคติมาจากอินเดีย ที่ว่า "พระยายม" เทพเจ้าแห่งความตายเป็นโลกบาลประจำทิศใต้ (หนังสือ 100 ปี พระยาอนุมานราชธน เล่มที่ 4 )
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป อิทธิพลต่างๆ ก็ทำให้ความเชื่อของคนในสมัยโบราณพลอยเปลี่ยนแปลงไปด้วย ทีนี้ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกเชื่อทางไหน เพราะ "ความเชื่อ" ไม่มีถูกไม่มีผิด
แต่คุณทราบมั๊ยครับว่า จริงๆ แล้ว ตามความเชื่อของคนในสมัยโบราณ ?ทิศใต้? นั้นเป็นทิศมงคล และเป็นทิศหัวนอน แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็จะทรงพระบรรทมโดยหันพระเศียรไปทางทิศนี้
ในศิลาจารึกหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้มีส่วนหนึ่งที่บรรยายเกี่ยวกับภูมิสถานของกรุงสุโขทัยไว้ โดยในด้านที่ 3 ระหว่างบรรทัดที่ 1 - 10 ได้กล่าวถึงภูมิสถานทาง เบื้องตีนนอน และ เบื้องหัวนอน ของกรุงสุโขทัยไว้ว่า
...เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว...
...เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฎีมีพิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขพุง ผีเทพยดาในเขานั้น...
ซึ่งเมื่อตรวจสอบจารึกกับโบราณสถานที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงทำให้ทราบอย่างแน่ชัดว่า เบื้องตีนนอน นั้น คือ ทิศเหนือ ส่วน เบื้องหัวนอน นั้นคือ ทิศใต้
นอกจากคนไทยแล้ว ชาวเขมรในสมัยโบราณก็มีความเชื่อว่า ทิศใต้ เป็น ทิศหัวนอน และไทยเองก็น่าจะได้รับอิทธิพลความเชื่อนี้มาจากเขมรด้วยส่วนหนึ่ง ราเชนทรวรมัน ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่องย้อนรอยเทวราชา ผ่านกษัตราแห่งนครธม ความว่า ...เมื่อ พ.ศ. 1459 อาบู ซายึด พ่อค้าชาวอาหรับได้บันทึกสงคราม ชิงแผ่นดินในหมู่เกาะทะเลใต้ว่า กษัตริย์หนุ่มกัมพูชาผู้เร่าร้อน ปรารภกับปุโรหิตว่า อยากเห็นพระเศียรพระราชาแห่งชวาตั้งอยู่บนพื้นท้องพระโรง เรื่องราวไปเข้าพระกรรณของกษัตริย์ชวา กษัตริย์ชวายกทัพมาจับกษัตริย์หนุ่มกัมพูชากลับไป หลังจากตั้งกษัตริย์กัมพูชาองค์ใหม่ กษัตริย์ชวาส่งพระเศียรอดีตกษัตริย์กลับไปกัมพูชา อาบู ซายึด สรุปทิ้งทายไว้ว่า นับแต่นั้นกษัตริย์กัมพูชาจะหันพระเศียรไปทางทิศใต้ และเรียกทิศนั้นว่าทิศหัวนอน...?
ตามบันทึกของอาบู ซายึด ที่ราเชนทรวรมันอ้างถึง กษัตริย์เขมรพระองค์นั้น คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งต่อมาได้ทรงประกาศอิสรภาพให้กับเขมรไม่ต้องขึ้นกับชวา และทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่นำลัทธิเทวราชาจากอินเดียใช้ในเขมร เพื่อแสดงพระองค์ว่าทรงเป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ทั้งปวง ดังนั้นการที่กษัตริย์เขมรทรงหันพระเศียรไปทางทิศใต้ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ชวานั้น ในข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ผมยังไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม แต่ที่แน่ๆ ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากทางพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ เพราะตามพุทธประวัติ ในยามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนอน จะบรรทมในท่า ?สีหไสยา? ทรงตะแคงพระวรกายลงข้างขวา พระกรขวาเท้าพระเศียร หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก และหันพระเศียรสู่ทิศใต้ และเมื่อจะเสด็จปรินิพพานนั้น ได้รับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะที่บรรทมลงระหว่างต้นสาละคู่หนึ่ง ในป่าสาละวันของมัลละกษัตริย์ จากนั้นประทับในท่าสีหไสยา โดยหันพระเศียรสู่ทิศอุดร อันเป็นทิศเหนือ ครั้นถึงยามสุดท้ายของวันเพ็ญเดือนวิสาขะก็เสด็จสู่ปรินิพพาน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในสมัยโบราณนั้น ทิศใต้ เป็นทิศมงคล และเป็นทิศหัวนอน ในขณะที่ ทิศเหนือ เป็นทิศปลายตีน หรือทิศสำหรับคนตาย
ความเชื่อเรื่องการหันหัวคนตายไปทางทิศเหนือนี้ นอกจากจะมีในพุทธประวัติแล้ว ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ก็ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่าเมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคตนั้นได้ทรงหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ
...จึ่งรับสั่งว่า วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง นักปราชทั้งหลายก็ถึงความดับเปนอันมากในวันเพญดังนี้ ควรพนะชนมายุจะหมดจะดับในวันนี้เปนแน่แล้ว... ครั้งเวลาย่ำค่ำ รับสั่งให้หาพระยาบุรุษย์รัตนราชพัลลภเข้าไปเฝ้า ให้พยุงพระองค์พลิกพระเศียรทับพระพาหาเหมือนอย่างพระไสยาศน์ จึงตรัสว่าเขาตายกันดังนี้... แล้วก็ทรงเจริญพระกรรมฐานสมาธิภาวนานิ่ง พระเศียรสู่ทิศอุดร ผันพระภักตร์ต่อประจิมทิศภ...เสด็จสู่สวรรคต...
พลูหลวง ได้เขียนเรื่องทิศไว้ในหนังสือเรื่องคติสยาม ความว่า
...ทิศในสมัยโบราณท่านแบ่งออกเป็นเพศ และจำแนกเป็นซ้ายกับขวา ทิศตะวันออกกับใต้เป็นทิศฝ่ายขวา เพศชาย ส่วนทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นทิศฝ่ายซ้าย เพศหญิง
ดังได้กล่าวแล้วว่า โบราณชนท่านถือกันว่า ขวาเป็นมงคล ซ้ายเป็นอัปมงคล ดังนั้นท่านจึงนิยมนอนหันศีรษะสู่ทิศใต้ อันเป็นทิศฝ่ายขวา ดังในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย และหนังสือไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึงหัวนอนคือทิศใต้ เมื่อคนเป็นๆ นอนหันหัวสู่ทิศใต้ จึงจำเป็นอยู่เองที่คนตายจะต้องหันหัวสู่ทิศเหนือ คตินี้มีมาเก่าแก่ นับตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ดังเช่นมีการขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่ลพบุรี จากรายงานของกรมศิลปากรแจ้งว่าโครงกระดูกนั้นหันหัวไปสู่ทิศเหนือ
ในหนังสือ อาเคอิค อียิปต์ ของดับเบิลยู บี เอมเมอรี ได้เขียนแผนผังหลุมฝังศพอียิปต์โบราณสมัยลางของปฐมราชวงศ์ ปรากฏว่าศพหันหัวสู่ทิศเหนือ ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนสยามประเทศ
ทิศใต้เป็นทิศมงคล และเป็นทิศหัวนอนของคนโบราณ มีชื่อว่าทักษิณ ซึ่งแปลว่าขวา หรือความเจริญ..."
นอกจากนี้นฤมล หิญชีระนันทน์ ยังได้กล่าวไว้ในสารานุกรมสมัยสุโขทัย ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชไว้ว่า
..แม้การประดิษฐานพระมหาธาตุเจดีย์ ณ วัดมหาธาตุวรมหาวิหารที่เมืองนครศรีธรรมราชไว้ ณ ส่วนใต้สุดของเมืองเดิมที่มีกำแพงล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวไปตามสันทรายมหึมานั้น ก็หาได้เป็นการบังเอิญไม่ หากเป็นการจงใจให้เป็นไปตามคติการหันหัวนอนสู่ทิศใต้ดังกล่าว คือเพื่อให้สอดคล้องกับการที่ทุดคนในเขตเมืองเดิม จะได้หันหัวนอนไปนบสิ่งที่ตนเคารพบูชา คือ พระมหาธาตุเจดีย์ซึ่งประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญอยู่ ณ ส่วนใต้สุดของเมืองตลอดคืน สำหรับเมืองสุโขทัย พื้นที่ภายนอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้มีสิ่งสำคัญด้านศาสนาและความเชื่อคือกุฎีพิหาร รวมทั้งเทพยดาในเขา...
สำหรับในกาลต่อมาที่ทิศใต้กลายเป็นทิศสำหรับคนตายนั้น ตามข้อสันนิษฐานของพระยาอนุมานราชธน ไทยน่าจะได้รับคติมาจากอินเดีย ที่ว่า "พระยายม" เทพเจ้าแห่งความตายเป็นโลกบาลประจำทิศใต้ (หนังสือ 100 ปี พระยาอนุมานราชธน เล่มที่ 4 )
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป อิทธิพลต่างๆ ก็ทำให้ความเชื่อของคนในสมัยโบราณพลอยเปลี่ยนแปลงไปด้วย ทีนี้ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกเชื่อทางไหน เพราะ "ความเชื่อ" ไม่มีถูกไม่มีผิด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น