look at arty

look at arty

18 สาเหตุที่ทำให้อ่อนเพลีย และหมดแรง


บังเอิญได้เข้าไปอ่าน เห็นว่าเข้าท่าดี ก็เลยขอนำมาบอกต่อ


เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ค้นพบสาเหตุที่ทำให้ท่านอ่อนเพลียหมดแรงว่า มันมีสาเหตุ

อะไร ซึ่งมีผู้รวบรวมไว้ถึง 18 ประการ โดยบางประการท่านอาจมิได้คาดคิดมาก่อน


1.ใช้โทรศัพท์มากเกินไป
ผลงานวิจัย เขารายงานว่า ท่านจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด
ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า "phone-fatigue" ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า ( Call Center ) ซึ่งจากผลงานวิจัยและตรวจร่างกาย พบว่า อาการขาดน้ำ ทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ทำให้เลือดข้นมากกว่าปกติ การไหลเวียนของเลือดในร่างกายจะเชื่องช้า

วิธีแก้ไข หากท่านต้องใช้โทรศัพท์นาน หรือ มีอาชีพต้องใช้เสียงมากๆ
เช่น ครูอาจารย์ วิทยากร นักร้อง นักเทศน์ ท่านควรดื่มน้ำมากๆ ในระหว่างที่ต้องพูดคุยนาน หรือ ใช้เสียงของท่าน น้ำนั้นควรเป็นน้ำอุ่น ไม่ควรเป็นน้ำเย็น แม้น้ำส้มใส่น้ำแข็ง แม้น้ำมะนาวเย็น ก็มีอันตรายต่อกล่องเสียง ควรเป็นน้ำส้มไม่ใส่น้ำแข็งหรือ น้ำมะนาวอุ่น จะมีประโยชน์ต่อกล่องเสียง เส้นเสียง และลำคอของท่าน

2. ความดันเลือดต่ำ

ความดันเลือดต่ำ คือสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ท่านหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลียได้อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุบปับหรือเวลายืนนานๆ

วิธีแก้ไข ถ้าท่านมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์

3.เล่นเกมส์หรือดูทีวีหรือเล่นอินเตอร์เน็ตดึกเกินไป

ฮอร์โมนเมลาโทนิน จะเป็นตัวกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์ จากจอทีวีจะทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่ตื่นเต้นหรือ น่าสนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึกและมีเวลานอนหลับน้อยลง

วิธีแก้ไข ท่านจะต้องหาอย่างอื่นมาทำแทนก่อนถึงเวลานอน ทำอย่างอื่น
ที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือสารคดี หนังสือธรรมะ ในระยะแรกอาจไม่คุ้นเคยแต่ทำไปสักระยะ จะเกิดความเคยชิน เป็นการสร้างเสริมนิสัยที่ดี เพราะทุกครั้งที่ท่านได้อ่านหนังสือ ท่านย่อมเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มมากขึ้น แม้เป็นสุตยมยปัญญา ก็ถือว่ามีประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าท่านต้องการประโยชน์อย่างยิ่งแล้ว ขออนุญาตแนะนำให้ท่านแสวงหา ภาวนามยปัญญา อันเป็นการเสริมสร้างปัญญา เสริมสร้างความมีสติสัมปชัญญะ ด้วยการสวดมนต์ และ ทำจิตใจให้สงบระงับ ด้วยการทำสมาธิแบบง่ายๆ เอาเพียงขั้นขณิกสมาธิก็พอ หรือ มีสมาธิเล็กน้อย จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วุ่นวายก็พอแล้วในแต่ละคืนก่อนนอน แล้วทำการทบทวนดูว่า นับแต่ท่านตื่นนอนในวันนี้มาจนถึงปัจจุบันขณะ วันนี้ท่านได้คิดดี พูดดี ทำดี ในเรื่องอะไรบ้างหรือ เสริมสร้างบุญใหม่ในเรื่องใดบ้าง มิใช่รู้จักแต่การใช้บุญเก่าเพียงอย่างเดียว การเสริมสร้างบุญใหม่ทุกวันนั้น เป็นกิจที่ขอแนะนำอย่างจริงจังว่า โปรดอย่าลืม หากวันใดลืม ท่านต้องตั้งใจว่า วันรุ่งขึ้นเราต้องทำให้ได้อย่างน้อย 1 เรื่องที่เป็นเรื่องที่ดี ที่มีประโยชน์แก่บุคคลอื่น โดยเริ่มจากคนที่ใกล้ชิดของท่าน คนในครอบครัวของท่าน บิดามารดา คู่สมรส บุตรธิดา ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย เพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนบ้าน คนที่อยู่ในสังคมเดียวกับท่าน คนในที่ทำงานท่าน คนในหมู่บ้านท่าน คนในตำบลท่าน ฯลฯ หากท่านคิดได้ดังกล่าว ท่านจะพบว่า ท่านมีโอกาสคิดดี พูดดี ทำดี ในแต่ละวันมากกว่า 10 เรื่อง หากท่านลองจดเรื่องที่ท่านทำดีไว้ เรียกว่าบัญชีความดี หากท่านทำสิ่งใดที่ตัวท่านเองก็ย่อมรู้ว่าไม่ดี เป็นบัญชีความ
ชั่วในแต่ละวัน ท่านจะทราบได้โดยตัวของท่านเองว่า ชาตินี้ ท่านมีกำไรในผลบุญที่สร้างเสริมใหม่ หรือ ขาดทุนชีวิต แล้วในความเป็นคนของท่านเอง ก็จะเกิดพัฒนาการในการเป็นมนุษย์ (มน + อุษยะ = ผู้มีจิตใจสูง) ในจิตใต้สำนึกของท่าน ก็จะเร่งเสริมสร้างกรรมดีมากขึ้นในแต่วัน ท่านจะมีความสนุกกับการทำความดี มีความสุขจากความสุขของผู้อื่น รู้จักการร่วมอนุโมทนาบุญ การร่วมอนุโมทนาบุญด้วยการเปล่งวาจาว่าสาธุด้วยจิตใจที่อิ่มบุญนั้น ท่านได้บุญจากการกระทำของผู้อื่นแล้ว50 % หรือ ท่านได้บุญไปกึ่งหนึ่งแล้วในทันทีพร้อมกัน เช่น เราเห็นเศรษฐีใจบุญบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาล 1 ล้านบาท เรามีความยินดีกับการทำความดีของเขาจิตใจเราก็อิ่มบุญไปกับเขา แล้วเราก็ร่วมอนุโมทนาสาธุไปด้วย กรณีนี้ก็เสมือนกับว่าท่านได้บุญเท่ากับท่านได้ร่วมบริจาคเงินไป 500,000 บาททีเดียว นี่คือ อานิสงส์ที่สำคัญของการมีจิตที่มีความสุขที่ผู้อื่นเสริมสร้างบุญ



แต่ท่านจะไม่ได้บุญร่วมด้วยเลย ถ้าจิตใจท่านนั้น ไม่ได้ปลื้มใจไปกับ
การทำบุญของคนอื่น ไม่ได้อิ่มเอิบในการทำความดีของผู้อื่น คนอื่นเขาสาธุ ท่านก็เปล่งเสียงสาธุไปกับเขาด้วย ขอเรียนว่าครูบาอาจารย์ท่านเตือนว่า เสียงสาธุนั้นไม่ได้มีประโยชน์ใดๆแก่บุคคลที่เปล่งแต่วาจาโดยไม่มีจิตใจน้อมยินดีในการกระทำนั้นๆบุคคลผู้นั้นไม่ได้บุญเลยสักนิดเดียว

แต่ที่เสียหายร้ายแรงมากกว่า ก็คือ การเปล่งเสียงสาธุตามคนอื่น แต่
จิตใจนั้นมีความอิจฉาริษยาที่เห็นคนอื่นทำความดี หรือ เมื่อคนอื่นได้ดี หรือ ได้รับรางวัล หรือ เมื่อเห็นคนอื่นบริจาคเงิน และ/หรือสิ่งของต่างๆ โดยมีสภาพจิตที่ไม่ได้ยินดีด้วยในการกระทำดีของคนอื่น หรือ กล่าวนินทาให้ร้ายแก่ผู้ที่ทำความดี แม้ผู้นั้นจะเปล่งวาจาสาธุตามคนอื่น แต่จิตคิดอกุศลเสียแล้ว นอกจากไม่ได้บุญแล้ว จิตยังเศร้าหมอง บัญชีนรกจดบันทึกทีเดียว ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่เปล่งวาจาสาธุแล้วจะได้บุญกึ่งหนึ่งของผู้ทำบุญเสมอไป สภาพจิตใจนั้นมีความสำคัญมากๆ ครูบาอาจารย์ฝากมาให้เตือนครับ เพราะถ้าเราอิ่มบุญที่เราได้ทำ หรือ


4. ขาดสารอาหารบางชนิด
มักจะเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก คือ หนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบ
มากในผู้หญิง

วิธีแก้ไข ไม่ว่าผักผลไม้ หรือ อาหารอะไรที่ช่วยเพิ่มระดับสารอาหารให้
ท่านจะต้องชวนขวายหามารับประทาน ซึ่งก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ท่านมีความกระปี้
กระเปร่ากระฉับกระเฉงมากขึ้น

5. ไม่ออกกำลังกาย
นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 20นาที แม้จะแค่ สัปดาห์
ละครั้ง ก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายประมาณ 30% แต่ถ้าออก
กำลังอย่างน้อย 20นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ในระยะยาวอาการ
อ่อนเพลียจะหายไปเลย นอกจากนี้ ให้กินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่าง
น้อย 4 – 5 จานต่อวันจะไม่ค่อยมีอาการอ่อนเพลีย

วิธีแก้ไข ต้องออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 20 นาที หรือ ออกกำลัง
กายด้วยการเดินเร็วๆก็ได้ แต่ไม่ควรน้อยกว่าครั้งละ 20 นาทีและ กินผักผลไม้ให้มากขึ้น


6. อิทธิพลของเดือนเกิด
มีนักสังเกตุ และ จดบันทึกว่า ความอ่อนเพลียและหมดแรง ของคนที่เกิดใน
เดือนต่างๆว่า มีนัยสำคัญที่ค่อนข้างแปลกว่า
ถ้าท่านเกิดเดือนธันวาคมหรือมกราคม
ท่านมักจะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนอื่น กาแฟยาม
บ่ายจะเพิ่มพลังให้ได้
ถ้าท่านเกิดเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม
ท่านจะขี้เซาในยามเช้านักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดด
ยามเช้าประมาณ15นาทีจะทำให้ตาสว่าง




7. กรามแข็ง
คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้
แสดงว่าคุณคงมีปัญหาที่เรียกว่าโรคกรามแข็ง TMJ (temporomandi bular joint) แพทย์
บอกว่า มันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการ
ทั่วไปคืออ่อนเพลีย และปวดหัว ปวดคอ หรือปวดไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์

8. มีราที่ม่านอาบน้ำ ที่คว่ำจานชาม ที่หน้าต่าง จากการวิจัยพบว่า 88% ของ
บ้านทั่วไป จะมีราขึ้นตามหน้าต่าง ขึ้นตามที่ล้างจานชาม และที่ม่านอาบน้ำ การแพ้
เชื้อราเหล่านี้เอง คือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลียหมดแรง

วิธีแก้ไข ให้ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดบริเวณหน้าต่าง และตรวจดู
ผ้าม่านในห้องอาบน้ำ ตรวจดูที่คว่ำจานชามแก้วของท่าน รีบทำความสะอาด แล้ว
นำไปตากแดด

9.ไม่ได้เอาผ้าห่มและหมอนไปผึ่งแดด

ระดับความชื้นในผ้าห่มและหมอน จะทำให้ไรฝุ่นเจริญเติบโตได้ดี ไรฝุ่นมัน
จะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับ
ไม่สนิท ทำให้เกิดเป็นหวัดได้ง่าย ซึ่งจะเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียหมดแรงในวัน
ต่อมาได้

วิธีแก้ไข จะต้องนำผ้าห่ม และ หมอนไปผึ่งแดดเป็นประจำ เมื่อความชื้นในผ้าห่ม
และ หมอนหมดไป ก็จะไม่เป็นที่อยู่อาศัยของไรฝุ่นต่อไป การนอนของท่านก็จะหลับ
ได้ดี ระบบการหายใจก็จะโล่ง อาการอ่อนเพลียหมดแรงก็จะหายไปได้



10. เชื่องช้างุ่มงาม
ผู้ที่ทำอะไรเชื่องช้า หรือ งุ่มง่าม จะปรากฏว่าร่างกายกลับใช้พลังงานมากขึ้น
เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง อันเป็นต้นเหตุให้ร่างกายอ่อนเพลียได้

วิธีแก้ไข การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ทำได้โดยเหวี่ยงแขนไป
หน้าและหลังสลับทีละแขน จะช่วยให้อาการอ่อนเพลียหายไปได้

11.อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย

คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้าย จะดูดพลังของคนอื่นหดหายเข้าไปในตัวของเขา

วิธีแก้ไข พยายามอย่าไปสมาคมคบค้า หรือ อยู่ใกล้ชิดกับคนที่มองโลก
ในแง่ร้าย ยกเว้นว่า คุณเต็มใจที่จะถ่ายพลังงานในตัวคุณให้เขาดูดซับไป ซึ่งก็เป็นเรื่อง
ที่ช่วยอะไรท่านไม่ได้ เพราะท่านทำตัวของท่านให้อ่อนเพลียหมดแรงเอง



12. อยู่ใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้ามากเกินไป
อุปกรณ์ไฟฟ้า และ อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ต่างๆ เช่น ปลั๊กไฟ หลอดไฟ วิทยุ
โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครี่องโทรศัพท์บ้าน เครี่องโทรศัพท์มือถือ ล้วนแต่เป็นตัว
ดูดพลังงานในร่างกายของเรา ที่ทำให้เราอ่อนเพลียหมดแรงและซึมเศร้าได้

วิธีแก้ไข ให้หาที่นอน หรือ ย้ายเตียงนอนให้ห่างจากอุปกรณ์ไฟฟ้า และ
อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ต่างๆให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ ห้ามวางโทรศัพท์มือถือไว้
ใต้หมอน หรือ ใส่ในกระเป๋าเสื้อ หากท่านไม่ต้องการให้ตัวเองอ่อนเพลียหมดแรงและ
ซึมเศร้า

13.ลืมดื่มกาแฟตอนเช้าหรือตอนสาย

หลายๆ ท่านที่ไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า หรือยามสาย พลังกายและใจอาจตก
วูบในวันนั้นๆ เพราะร่างกายติดคาเฟอินแล้ว จากงานวิจัยพบว่าผู้ร่วมวิจัยถึง 50% มี
อาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า หรือยามสายและมีถึง13%
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยตลอดวัน

วิธีแก้ไข ให้ฝึกหัดดื่มกาแฟที่ไม่ต้องใส่น้ำตาล และ ครีมเทียม เพราะ
น้ำตาล และ ครีมเทียม มีอันตรายต่อสุขภาพมาก น้ำตาลเป็นอาหารของมะเร็ง และ
ครีมเทียม เป็นไขมันตัวเลวที่จะไปทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันในหัวใจ และ สมอง




14.บ้านรก

ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยยืนยันว่า กองสิ่งของสัมภาระต่างๆที่วางรกเกะกะ
ภายในที่อยู่อาศัยนั้น จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในสถานที่นั้นๆ มีอาการอ่อนเพลียหมดแรง
และ มีปัญหาสุขภาพ

วิธีแก้ไข ท่านไม่ต้องถึงกับเก็บกวาดทิ้งสิ่งของทุกอย่างในทันที อย่าง
น้อยจะต้องมีความตั้งใจที่จะเริ่มสะสางพื้นที่ใช้สอยในบริเวณบ้าน ทั้งหน้าบ้าน ข้าง
บ้าน และ ภายในตัวบ้าน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ถ้าท่านต้องการความมีสุขภาพที่ดี



15.ร่างกายมีปัญหา

ทุกคนควรสังเกตตัวเองว่า ร่างกายมีปัญหาอะไรหรือไม่ แม้ว่าการเจ็บ
หน้าอก คือ สัญญาณหลักๆบอกถึงอาการโรคหัวใจก็ตาม แต่สำหรับเพศหญิง
สัญญาณนั้นอาจเป็นเรื่องความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70%ที่อ่อนเพลียภายในเดือน
นั้นๆก่อนมีอาการหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆอาจรวมถึงการนอนไม่หลับ การหายใจ
ขาดห้วง การหายใจไม่สุด การหายใจติดขัด อาหารไม่ย่อย และ ความเครียด 43%ของ
ผู้หญิงที่เป็นโรคหัวใจ ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบมากแล้วก็ตาม
ดังนั้น ถ้าท่านรู้สึกร่างกายมีสิ่งผิดปกติอย่างอื่น แม้ไม่ได้เจ็ยที่หัวใจก็ตาม อย่าปล่อน
ปละละเลย ควรทำการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความ
ดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง เป็นเบาหวาน หรือ คนในครอบครัวเคยเป็นโรคหัวใจ
มาก่อน เป็นต้น

16.การกลั้นหาว
การหาวของคนเรานั้น เป็นวิธีทางธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เรา
ตื่น นักจิตวิทยาบอกว่า การเคลื่อนไหวของกรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมองของคน การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้ และ จะทำให้คุณ
ยิ่งอ่อนเพลียหมดแรง และง่วงนอนมากขึ้น

วิธีแก้ไข เมื่อรู้สึกอยากหาว ก็ให้หาวออกมา แต่ควรปิดปาก และ หัน
หน้าไปทางที่ไม่มีคนอยู่ จะได้ดูไม่น่ารังเกียจ



17.ความเครียด

ความเครียดทุกกรณี เป็นตัวทำให้อ่อนเพลียหมดแรง แม้ความเครียดใน
การใช้ชีวิตตามตารางเวลา หรือ ตามตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าจะต้องทำ
อะไรบ้างก่อนหลัง ในเวลาเท่าไร คือตัวดูดพลัง ที่ทำให้เกิดความเครียด และ เป็นตัว
ทำให้อ่อนเพลียหมดแรงได้

18.หมอนหนุนรองศีรษะเก่าเกินไป

ในกรณีถ้าหมอนหนุนนอนของท่านยวบยาบมากจนเกินไป จนทำให้ลำคอ
ของท่านไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว หรือ รู้สึกนอนไม่สบาย ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อ
ตึงตัว ซึ่งจะทำให้ท่านนอนไม่ค่อยจะหลับสนิทแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจ ใน
เวลาที่ท่านหลับด้วย ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้วันรุ่งขึ้นนั้น ท่านจะมีอาการอ่อนเพลีย
หมดแรงได้ ท่านไม่ควรใช้หมอนใบนั้นหนุนนอนต่อไป

วิธีแก้ไข ท่านต้องรีบหาผ้ามาเสริมหนุนนอนเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ท่าน
เองรู้สึกนอนได้สบายกับสรีระร่างกายของท่าน จากนั้นก็ควรรีบหาซื้อหมอนใบใหม่มา
หนุนแทนใบเก่าได้แล้ว

หวังว่า เมื่อท่านทราบเหตุปัจจัยที่ทำให้ท่านอ่อนเพลียหมดแรงแล้ว
ท่านคงตั้งใจแก้ไข เพื่อมิให้ท่านและครอบครัว ต้องเป็นโรคอ่อนเพลียหมดแรงเรื้อรัง
ตลอดชีวิต

0 ความคิดเห็น: